ยอมทิ้งเงินเดือนหลักแสน หันปลูกผัก ‘ไฮโดรโปนิกส์’ รายได้ครึ่งล้านต่อเดือน!!
ขึ้นชื่อว่า ‘มนุษย์เงินเดือน‘ เปรียบเสมือนกับหุ่นยนต์ที่ต้องทำงานในรูปแบบซ้ำๆกัน ในแต่ละวันเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีแลกกับเงินเดือนตามที่ตกลงไว้ บางคนโหมงานหนักจนไม่มีเวลาในการดูแลเรื่องสุขภาพของตัวเอง ไม่มีเวลาให้กับครอบครัวหรือคนรอบข้าง อีกทั้งยังเลือกรับประทานอาหารที่ทานง่าย อิ่มเร็ว แต่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย สุดท้ายร่างกายของคนเราก็รับไม่ไหวจนต้องล้มป่วยไปตามสภาพ
เช่นเดียวกับคุณเจส คาลโว อายุ 45 ปี อดีตผู้อำนวยการห้างสรรพสินค้าหลายๆ แห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นมนุษย์เงินเดือนมานานกว่า 20 ปี ยอมทิ้งเงินเดือนหลักแสน!! เพื่อมาเปิดฟาร์มผัก ‘ไฮโดรโปนิกส์‘ นั่นคือ ‘ฟาร์มรักดี’ ตั้งอยู่ภายในซอยศิริชัย 1/38 อ.เมือง จ.นนทบุรี ขอพาทุกท่านไปหาคำตอบกันว่า ทำไมคุณเจสถึงยอมทิ้งเงินเดือนหลักแสน..? มุ่งสู่การเป็นเจ้าของฟาร์มผัก ‘ไฮโดรโปนิกส์’
“ผมวางแผนไว้เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อที่จะออกจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน และวางแนวทางในการประกอบธุรกิจส่วนตัว จนกระทั่งมาล้มป่วยหนัก ซึ่งสาเหตุมาจากการทำงานหนักจนไม่มีเวลาดูแลสุขภาพ ทั้งอาหารการกิน ตอนนั้นตัดสินใจทันทีว่าควรหันมาประกอบธุรกิจส่วนตัว เพื่อให้เวลากับตัวเองและครอบครัวมากขึ้น”
ทำไมถึงสนใจมาทำธุรกิจการปลูกผักแบบ ‘ไฮโดรโปนิกส์’
“ส่วนตัวผมเป็นคนชอบปลูกต้นไม้ แต่ปลูกทีไรก็ตาย เนื่องจากขาดความรู้ในเรื่องของการทำเกษตร จึงหันมาศึกษาเกี่ยวกับการทำการเกษตรอย่างจริงจัง และที่ตอบโจทย์มากที่สุดคือการปลูกผักแบบ ‘ไฮโดรโปนิกส์’ “
คุณเจส เปิดเผยว่าเริ่มแรกได้ศึกษาและทดลองปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ในแปลงเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก จนประสบความสำเร็จ ผักมีความสวยงาม จึงลงทุนอีก 6 แสนบาท เพื่อสร้างเป็นแปลงใหญ่ ช่วงนั้นมีลูกค้าติดต่อสนใจเข้ามาซื้อผักเป็นจำนวนมาก ตอนนั้นคิดว่าธุรกิจการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์กำลังไปได้สวยงาม
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ฟาร์มของคุณเจสกลับประสบปัญหาเรื่องโรคแมลงจนผลผลิตเสียหาย ภายหลังได้ติดต่อไปยังผู้ที่จำหน่ายอุปกรณ์การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์เพื่อขอคำปรึกษา แต่กลับไม่ได้คำตอบในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นการลงทุนครั้งแรกที่ล้มเหลวอย่างมาก คุณเจสกล่าว
จึงคิดทบทวนและตัดสินใจศึกษาข้อมูลการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ในเชิงลึกแบบละเอียด ไปอบรมทุกๆที่ เรียกได้ว่าที่ไหนมีกูรูด้านการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ก็จะไปศึกษาทันที จึงนำความรู้จากผู้เชี่ยวชาญหลายๆที่ นำข้อมูลมาตกผลึกเป็นแนวทางและวิธีการของตนเอง จึงลงทุนเงินอีก 8 แสนบาท โดยยอมโละทิ้งอุปกรณ์เดิมที่ลงทุนในครั้งแรกไป เพื่อหาซื้ออุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน
สำหรับเรื่องสายพันธุ์ที่นำมาปลูกนั้น เป็นผักในตระกูล Lettuce หรือตระกูลผักกาดหอม ซึ่งเป็นผักเมืองหนาว จะสั่งซื้อโดยตรงมาจากประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยแบ่งเป็นผักสีเขียว 5 ชนิด และผักสีแดง 5 ชนิด เพื่อเพิ่มความหลากหลายในการเลือกซื้อของลูกค้า ดังนั้นการที่มาปลูกในประเทศไทยจึงเป็นอุปสรรคในการดูแลพอสมควร เนื่องจากเมืองไทยมีอากาศร้อนชื้น
ภายในฟาร์มของคุณเจส มีทั้งหมด 13 แปลง แยกเป็นแปลงเป็นอนุบาล 1 แปลง ในขั้นตอนการอนุบาลนั้นจะใช้เวลาประมาณ 20 วัน ถึงจะนำลงแปลงปลูกหลัก ซึ่งจะได้ประมาณ 480 ต่อแปลง จะใช้เวลาอีก 25 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว รวมระยะเวลาในการปลูกผักด้วยระบบ ‘ไฮโดรโปรนิกส์’ จะใช้ระยะเวลาประมาณ 45 วันก็สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว
คุณเจสยังเผยอีกว่าข้อดีของการปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกส์นั้น เราสามารถควบคุมธาตุอาหารของผักได้ โดยนำธาตุอาหารไปละลายในน้ำใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก็สามารถนำไปใช้ได้แล้ว ทั้งนี้ที่ฟาร์มของคุณเจส จะไม่ใช้สารเร่งแต่อย่างใด เพื่อให้ผักเจริญเติบโตเองตามธรรมชาติ
ซึ่งในแต่ละวันจะต้องตรวจสอบคุณภาพของผักทุกต้น เพื่อให้มั่นใจว่าผักทุกต้นมีคุณภาพและให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ซึ่งหากพบว่าต้นไหนมีโรคหรือมีความผิดปกติก็จะกำจัดทิ้งทันที ส่วนการพ่นละอ่องน้ำนั้น เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองร้อน จะต้องเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผักอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งข้อดีของเครื่องพ่นละอองน้ำยังเป็นการช่วยไล่แมลงศัตรูพืชไปในตัวด้วย
ส่วนโรคและแมลง ในแต่ละฤดูกาลจะแตกต่างกันออกไปช่วงหน้าร้อนต้องควบคุมเรื่องความชื้นให้ดี เนื่องจากถ้าปล่อยปละละเลย จะทำให้รากของผักเน่าและตายในที่สุด ส่วนในฤดูฝนนั้นจะมีปัญหาเรื่องใบลู่ เนื่องจากรากของต้นมีการแช่น้ำในปริมาณที่มากเกินไป จึงต้องควบคุมระดับน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม และฤดูหนาวแน่นอนเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดของผัก เนื่องจากเดิมผักเป็นพืชเมืองหนาวอยู่แล้ว จึงเป็นช่วงที่ผักจะให้ผลผลิตที่ดี มีคุณภาพและสวยงามที่สุด
ส่วนรายได้จากการจำหน่ายผักไฮโดรโปนิกส์ ซึ่งเก็บรวมทุกแปลงจะได้ประมาณ 140 กิโลกรัม สร้างรายได้ประมาณ 8 หมื่นบาทต่อเดือน!!!
แต่ด้วยความที่เป็นเคยทำงานด้านการตลาดจึงไม่หยุดการเจริญเติบโตของธุรกิจเพียงเท่านี้ คุณเจสเผยว่าการทำธุรกิจนั้นไม่ควรทำในแนวราบ ควรสร้างความแตกต่างหรือเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า และเป็นความต้องการของตลาด จึงตัดสินใจที่จะทำร้านอาหารโดยใช้ผักในฟาร์มของตนเอง
แรกเริ่มนั้นต้องลงทุนไปศึกษาการทำอาหารด้วยตัวเอง ก่อนนำมาทำเป็นเมนูของตนเอง และถ่ายทอดสูตรให้กับเชฟของทางร้าน ซึ่งคุณเจสเผยว่าภายหลังต่อยอดธุรกิจการในการเปิดร้านอาหารเพียง 7 เดือนที่ผ่านมา ก็สามารถคืนเงินที่ลงทุนไปได้แล้ว
ทั้งนี้ที่ร้านจะจ้างเชฟมืออาชีพคอยคิดค้นหาสูตรอาหารใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อเพิ่มความหลากหลายของอาหาร และต้องให้บริการกับลูกค้าด้วยใจ สร้างความเป็นกับเองให้กับลูกค้า เรื่องด้านการตลาดนั้นคุณเจสยังบอกเพิ่มเติมว่า ข้อดีของในยุคโซเชียลมีเดียคือมีการแชร์ต่อกันอย่างมากมาย จนทำให้มีลูกค้าใหม่ๆ และรักษาฐานลูกค้าเดิมได้อย่างเหนียวแน่น
ซึ่งหากลูกค้าที่เข้ามารับประทานอาหารที่ร้านแล้วสนใจอยากซื้อผักสดๆจากแปลง ก็จะแบ่งจำหน่ายเพียงต้นละ 30 บาทเท่านั้น ส่วนรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 6 แสนบาท!!! ทั้งนี้ที่ ‘ฟาร์มรักดี’ ของคุณเจสมีการเปิดอบรมสำหรับผู้ที่สนใจในการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ โดยจะแนะนำขั้นตอนการทำอย่างถูกต้อง หากใครสนใจที่จะเดินทางไปที่ฟาร์มรักดี สามารถเดินทางไปได้ตามแผนที่ด้านล่างนี้
คุณเจสยังเผยอีกว่า วันนี้มองย้อนกลับไปจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน ตอนนั้นที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไปเพื่อมีชีวิต แต่วันนี้ผมได้ใช้ชีวิตได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและชอบ และอยู่อย่างพอเพียงตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
***ข้อมูลเพิ่มเติม : การปลูกผักแบบ ‘ไฮโดรโปนิกส์’ ในประเทศไทยมีการปลูกกันมาหลายปีแล้ว ซึ่งเรียกง่ายๆว่าเป็นระบบ ‘ปลูกพืชไร้ดิน’ โดยมีน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญ สามารถควบคุมธาตุอาหารของพืชได้เป็นอย่างดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น